“พี่ตะวัน คะ พี่ตะวัน
.” เสียง เล็ก ๆ ที่ร้องเรียก พร้อมกับความรู้สึกว่ามือของตัวเองโดนกระตุก ทำให้ปลายตะวันละสายตาจากบุรุษที่กำลังเดินผ่านทางเดินระหว่างตึกของโรงพยาบาล
หญิงสาวหันกลับมามอง ก็เห็นว่า มือน้อย ๆ ที่กระตุกมือของหล่อนนั้น คือเด็กหญิงเล็ก ๆ ซึ่งใส่ชุดสีฟ้า ลายหมี ซึ่งตอนนี้กำลังเงยหน้ามองตนอยู่
“คะ...น้องปูเป้” ปลายตะวันทักพร้อมกับยิ้มให้ เด็กหญิงปูเป้ ก็ยิ้มแฉ่งตอบ ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างซีดเซียวนั้นสดใสขึ้น
“พี่ตะวันมาช้าจังค่ะวันนี้ ปูเป้กับเพื่อน ๆ รอตั้งนานแน่ะ” ปลายตะวันยิ้มเมื่อได้ฟังคำพูดนั้น”
“ขอโทษจริง ๆ จ๊ะ ปูเป้จ๋า พี่ตะวันติดธุระนี่นา เข้าไปหาเพื่อน ๆ เถอะตากลมนาน ๆ เดี๋ยวไม่หายป่วยกันพอดี” ปลายตะวันว่าพลางก็จูงมือเด็กหญิงปูเป้เดินเข้าไปในตัวตึก ของแผนกเด็ก
ชั่วแว๊ปหนึ่งหล่อนหันกลับไปมองตรงทางเดินแต่ก็รู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ เมื่อไม่เห็นคนที่หล่อนมองเมื่อครู่
“ใช่พี่อิ๊ม หรือเปล่านะ” ปลายตะวันคิดพลางเมื่อเดินเข้าไปในตัวตึก
ระหว่างทางที่เดินแพทย์และนางพยาบาลหลายคนต่างร้องทักทาย เพราะปลายตะวันนั้นคุ้นเคยกับโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ดี โดยเฉพาะแผนกตึกผู้ป่วยเด็ก ทุก ๆ วัน หล่อนมักจะมาเยี่ยมเยียนเด็ก ๆ ที่ตึกนี้ประจำ จนสนิทกับเด็ก ๆ ทุกคนที่พักฟื้นอยู่ที่ตึกแห่งนี้
จะว่าไปโรงพยาบาลแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังใหญ่ของหล่อนไปเสียแล้วในช่วงเวลา ที่ผ่านมา เนื่องจากร้านเบเกอร์รี่เล็ก ๆ ที่ปลายตะวันกับนิรมลเพื่อนสนิทเปิดขึ้นนั้นตั้งอยู่ข้างโรงพยาบาล และที่สำคัญผู้อำนวยการโรงพยาบาล นายแพทย์ สันติ พรประเสริฐ นั้นเป็นลุงของหล่อน
นายแพทย์สันติ มองหญิงสาวร่างสูงโปร่ง ซึ่งกำลังมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างชั้น 10 ของโรงพยาบาล เสื้อสีขาว กับกางเกงยีนต์ที่สวมใส่แม้ว่าจะไซด์เล็ก แต่ก็ยังดูหลวม
“คิดอะไรอยู่หรือตะวัน” เสียงที่เอ่ยทักทำให้ปลายตะวันสะดุ้ง
“ลุงติ....ตะวันตกใจหมด” หล่อนเอ่ยพร้อมกับเดินเข้ามาคล้องแขนผู้เป็นลุงพาเดินไปที่โต๊ะทำงาน
นายสันติขยี้ศีรษะเล็ก ๆ นั้นอย่างเอ็นดู ปลายตะวันเป็นลูกของพี่สาวเขา ซึ่งเสียชีวิตไปพร้อมกับพี่เขย ตั้งแต่ปลายตะวันอายุ 8 ขวบ
เขาจึงรับเด็กหญิงมาเลี้ยง และเพราะทั้งเขาและภรรยาไม่มีลูกจึงรักปลายตะวันไม่ต่างอะไรกับลูกสาวแท้ ๆ ในช่วงนั้นอาการช็อคที่สูญเสียผู้เป็นบิดามารดาไปทำให้ปลายตะวันไม่ยอมพูดกับใคร แม้แต่เขาเอง ทั้งน้ำตาและเสียงร้องไห้ก็ไม่เคยแสดงออกมา เรียกได้ว่าเป็นเหมือน ตุ๊กตาไร้วิญญาณก็ว่าได้
ทั้งเขาและภรรยาต่างพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ปลายตะวันกลับเป็นเด็กสดใสร่าเริงเหมือนเดิม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาเกือบเดือนเห็นจะได้ กว่าจะปลดโซ่แห่งความทุกข์จากการสูญเสียผู้ให้กำเนิดของปลายตะวันออกไป
“ว่าไง....เรา คิดอะไรอยู่ ลุงเข้ามายังไม่รู้ตัวอีก” คำถามนั้นทำให้ปลายตะวันลังเลเล็ก ๆ ก่อนจะตอบออกมา
“ที่ตรงทางเดินระหว่างตึก ตะวันเห็นใครบางคนเหมือนคนรู้จักน่ะค่ะ”
“อิ๊ม ใช่ไหมล่ะ” นายแพทย์สันติ ถามอย่างรู้ดีว่าหลานสาวหมายถึงใคร และชื่อนั้นก็ทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามออกอาการชะงักงันขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะพยักหน้ายอมรับ
นายแพทย์สันติ มองผู้เป็นหลานสาวยิ้มน้อย ๆ รู้ดีว่าคนที่เอ่ยถึงนั้นเป็นคนที่เรียกได้ว่ามีความสำคัญมากมายสำหรับปลายตะวัน
เพราะเป็นคนที่หลานสาวของตนคิดถึงมาตลอดระยะเวลา เกือบสิบปีที่ผ่านมา และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ปลายตะวันเข้มแข็งได้อยู่ทุกวันนี้ทั้ง ๆ ที่กำลังเผชิญกับเรื่องหนักหนาก็ตาม พอคิดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกสลดขึ้นมา แววตาที่มองหลานสาวอ่อนแสงลง
“ตะวัน ถ้าหากได้เจออิ๊มอีกครั้ง แล้วเค้าเปลี่ยนไป จำตะวันไม่ได้ ตะวันจะทำใจได้ไหม
..”
ปลายตะวันมองหน้าผู้เป็นลุงอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถามเช่นนั้น
“ทำไมลุงติ ถามตะวันอย่างนั้นล่ะคะ”
“ลุงอยากรู้น่ะ...นายแพทย์สันติลังเลนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อไป ตะวันเคยคิดไหมระยะเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา หลังจากครึ่งปีที่อิ๊มไปเมืองนอก อิ๊มก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหาตะวันเลย และจดหมายที่เขียนไปก็โดนตีกลับหมด ระยะเวลาที่ผ่านมาอาจมีอะไรเกิดขึ้นมากมายหากเป็นอย่างที่ลุงพูดตะวันจะทำอย่างไร”
ปลายตะวันนิ่งเงียบชั่วอึดใจ ใบหน้าหม่นลง แต่แล้วหล่อนก็มองผู้เป็นลุงยิ้มออกมาก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส
“ถ้าเป็นอย่างนั้นตะวันก็คงดีใจอยู่ดีค่ะที่ได้เจอพี่อิ๊ม ถึงแม้เค้าจะลืมตะวันไปแล้วก็ตาม สำหรับตะวันแล้วในตอนนี้ไม่คิดหวังให้พี่อิ๊ม มาอยู่เคียงข้างตะวันหรอกค่ะ ขอแค่ได้เจอสักครั้งแล้วเห็นพี่อิ๊มมีความสุขก็ดีใจมากแล้ว นั่นคือ สิ่งที่ตะวันปรารถนาที่สุดแล้วล่ะค่ะลุงติ”
นายแพทย์สันติ ฟังหลานสาวผู้เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขา ตอบเช่นนั้นก็พยักหน้ารับยิ้มน้อย ๆ กับมุมมองความรักที่ปลายตะวันมี
“ได้ยินอย่างนั้น ลุงค่อยสบายใจ” พูดพลางเขาก็เปิดลิ้นชักหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมา ยื่นให้กับหลานสาว ปลายตะวันรับเอกสารนั้นมาอย่างงง ๆ มองแฟ้มตรงหน้า แล้วเงยมองผู้เป็นลุง ในเชิงถาม
“ เปิดดูสิ แล้วตะวันจะเข้าใจว่าทำไมสิ่งที่ลุงถามหมายถึงอะไร”
ปลายตะวันเปิดแฟ้มเอกสารออก ข้างในมีรูปกับเอกสารแสดงประวัติส่วนตัวของผู้ที่จะมาเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลนี้ ทันทีที่ปลายตะวันมองเห็นรูปหญิงสาวก็ชาวาบไปทั้งตัว
“พี่อิ๊ม
ลุงติ หมายความว่าพี่อิ๊ม....”
“ ใช่....คนที่ตะวันเฝ้ารอจะมาเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลนี้ เมื่อเช้าเค้าเข้ามารายงานตัวกับลุงแล้ว ตอนแรกที่ลุงเห็นรูปกับนามสกุลเค้าก็ไม่แน่ใจหรอกว่าจะใช่ เพราะชื่อเค้าเปลี่ยนไป จากอริน เป็นเอริค แต่พออ่านประวัติแล้วสัมภาษณ์ก็เลยแน่ใจ”
“งั้นคนที่ตะวันเห็นที่ทางเดินก็ ใช่พี่อิ๊มจริง ๆ” ปลายตะวันยิ้มอย่างร่าเริง การเฝ้ารอคอยของหล่อนไม่ไร้ประโยชน์ ในที่สุดก็ได้พบเขาเสียที แถมยังเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลด้วย ในที่สุดโชคชะตาก็ไม่ได้โหดร้ายกับหล่อนจนเกินไปนัก
“แต่....ตะวัน หลานต้องรู้อะไรบางอย่างนะ”
“คะ...มีอะไรหรือคะลุงติ...”ปลายตะวันเอ่ยถามเมื่อเห็นรอยกังวลที่ฉายชัดออกมาจากผู้เป็นลุง
“อิ๊ม สูญเสียความทรงจำ เขาจำเหตุการณ์ก่อนอายุ 19 ไม่ได้ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ลุงไม่แน่ใจว่าควรบอกให้ตะวันรู้ดีหรือไม่ ที่เค้ามาทำงานที่นี่ ลุงถึงถามตะวันไงล่ะว่าหากเขาเปลี่ยนไปตะวันจะรู้สึกอย่างไร”
“อะไรนะคะ” ปลายตะวันอุทานอย่างตกใจ
“อิ๊ม ประสบอุบัติเหตุตอนอยู่เมืองนอก ซึ่งพ่อของเขาและยัยเอมี่ก็เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ด้วย อิ๊มรอดมาได้แต่ก็สูญเสียความทรงจำก่อนหน้านั้นไป คุณอรดี น้องสาวพ่อของอิ๊มก็เลยรับอิ๊มไปดูแล
..”
นายแพทย์สันติ หยุดประโยคที่จะพูดต่อเมื่อเห็นหยดน้ำตาที่รินไหลออกมาจากดวงตาของปลายตะวัน เขาลุกจากเก้าอี้ เดินอ้อมโต๊ะมาหยุดอยู่ข้างหลานสาว รั้งศีรษะเล็ก ๆ นั้นเข้ามาอิงซบกับตนเพื่อปลอบใจ
“อย่าเศร้าไปเลยตะวัน สักวันความทรงจำของอิ๊มก็คงจะกลับมา แค่มันอาจต้องใช้ระยะเวลานานเท่านั้นเอง”
“ตะวันเปล่าเศร้าหรอกค่ะ ลุงติ ตะวันรู้สึกสงสารพี่อิ๊ม และตะวันก็ดีใจ ที่ได้รู้ว่าพี่อิ๊มไม่ได้เกลียดตะวัน และที่หายไปไม่ติดต่อกลับมา เป็นเพราะพี่อิ๊มประสบอุบัติเหตุ เค้าถึงไม่สามารถติดต่อกับตะวันได้ ถึงแม้พี่อิ๊มจะจำตะวันไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ตะวันได้พบกับพี่อิ๊มสักครั้งก็ดีมากแล้ว” หญิงสาวกล่าวทั้งน้ำตา
เอริคชะงักฝีเท้าเมื่อเดินผ่านสวนเล็ก ๆ ข้างตึกของแผนกกุมารเวช ภาพของหญิงสาวในเสื้อสีฟ้า กับกางเกงยีนต์ นั่งบนพื้นสนามหญ้าโดยมีเด็ก ๆ กลุ่มใหญ่ กำลังตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่เธอพูด พร้อมกับนางพยาบาล 2- 3 คน
เขาอดยิ้มไม่ได้กับภาพที่เห็น เขามาทำงานที่นี่ได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว และในทุก ๆ วัน ช่วงเวลาบ่าย เขาก็จะเห็นหญิงสาวคนนั้น อยู่ที่สวนแห่งนี้รายล้อมด้วยเด็ก ๆ และพยาบาลเสมอ เอริคชั่งในสักครู่ ก็ค่อยเดินมุ่งตรงไปยังบริเวณสวนเล็ก ๆ นั้น
“พ่อมด....เดวา จับคฑา ขึ้น แล้ว ชี้ตรงไปยัง เฟย์ เขาหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า”
เอริค ซึ่งหยุดยืนอยู่มุมหนึ่งไม่ไกลจากกลุ่มเด็ก ๆ และหญิงสาวเท่าไหร่นัก อมยิ้ม เมื่อได้ยินเสียงที่ กำลังเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง หญิงสาวเล่าไปพร้อมกับดัดเสียงเป็นตัวละครตัวนั้นตัวนี้ บวกกับท่าทางประกอบทำให้เด็ก ๆ จ้องผู้เล่าตาไม่กระพริบ รอลุ้นว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร
“แม่เด็กน้อย เจ้าไม่มีทางขัดขวางข้าได้หรอก ยังไงเสียวันนี้เจ้าต้องตาย และนครแห่งสายรุ้งต้องตกเป็นของข้า”
“ไม่มีทาง พ่อมดเลว ๆ อย่างท่าน ยังไงก็ไม่มีวันได้ครอบครองนครสายรุ้งหรอก”
“ได้ไม่ได้ เดี๋ยวก็รู้ พูดจบ เจ้าพ่อมดชั่วเดวา ก็ปล่อยอาคมจากปลายไม้คฑาไปที่ เฟย์”
“.............................”
“พี่ตะวันเล่าต่อสิ คะ” เด็กหญิงคนหนึ่งรีบบอก เมื่อผู้เล่าเงียบไป
“เฟย์ จะเป็นยังไงครับ พ่อมดเดวาทำอะไรเฟย์ได้ไหม”
“เล่าต่อสิคะ พี่ตะวัน เล่าต่อสิครับ” เสียงเซ็งแซ่ของเด็ก ๆ รบเร้าให้เล่าต่อ แต่ผู้เล่ากลับยิ้มแฉ่ง หัวเราะเก้อ ๆ
“แหะ ๆๆ พี่ตะวันคิดไม่ออกแล้วค่ะว่าจะต่อยังไง คือเมื่อคืนคิดได้แค่นี้เอง”
“ว้า...พี่ตะวันอะ เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย จบตอนมันส์ ๆ ทุกที”
“นั่นสิ เล่าต่อ สิคะพวกเราอยากรู้ นะคะ นะพี่ตะวัน นะ....น้า” เด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งเขย่าแขนของหญิงสาวส่งเสียงอ้อนรบเร้าเพราะกำลังสนุกกับเนื้อเรื่อง
“พรุ่งนี้แล้วกันนะคะ ไว้คืนนี้เดี๋ยวพี่กลับไปคิดก่อน รับรองค่ะว่าพรุ่งนี้ได้ฟังตอนจบแน่นอน”
“ไม่เอา ปูเป้อยากฟังวันนี้นี่คะ พี่ตะวันเล่าต่อนะ”
“ตั้มก็อยากฟังครับ เล่าต่อนะครับ”
เอริคยืนมองบรรยากาศนั้นแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อกลุ่มเด็ก ๆ ต่างแย่งกันคะยั้นคะยอให้หญิงสาวที่ดูเหมือนจะชื่อ ตะวัน เล่านิทานต่อ
ปลายตะวันหันไปมองทางเสียงหัวเราะที่ได้ยิน หัวใจเต้นระทึกเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“พี่อิ๊ม...” หญิงสาวอุทานเบาๆ กลุ่มเด็ก ๆ เองก็หันไปมองผู้มาใหม่อย่างสนใจ นางพยาบาล 2-3 คน ที่นั่งอยู่ด้วยกันต่างหันมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เพราะกิตติศัพท์ ความหล่อของศัลยแพทย์คนใหม่ลือกันกระฉ่อนทั่วโรงพยาบาล พยาบาลสาว เล็ก สาวใหญ่ ไม่เว้นแม้กระทั่งหมอหญิงต่างพูดถึงกันทั่ว
ชายหนุ่มเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ ๆ
“สวัสดีค่ะ คุณหมอเอริค” พยาบาลต่างทักทายหมอใหม่
“สวัสดีครับ” เขาทักทายตอบ แล้วก็หันมาทางหญิงสาวที่ดูเหมือนกำลังจับจ้องเขาไม่วางตา
“ไม่เล่าต่อล่ะครับ กำลังสนุกเลย” ปลายตะวันพยายามเก็บอาการตื่นเต้นไว้ แต่เสียงที่เอ่ยออกมาก็ยังตะกุกตะกักอยู่ดี ทุก ๆ วันหล่อนได้แต่เฝ้ามองเขาอยู่ห่าง ๆ แค่ได้เห็นก็สุขใจ แต่วันนี้เมื่อได้คุยกันใกล้ ๆ จริง ความดีใจยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ
“เอ่อ...คือ...เอ่อ..พี่..เอ้ย.....คุณหมอ ได้ยินด้วยหรือคะ” หญิงสาวกล่าวอย่างตะกุกตะกัก
“พอดีเดินผ่านมาเห็นเด็ก ๆ กับคุณ ท่าทางมีเรื่องน่าสนุกเลยเข้ามายืนฟัง ขอโทษนะครับที่เสียมารยาท”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ”
“พี่ตะวัน ใครเหยอคะ” เด็กหญิงปูเป้ รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่มองหมอใหม่สลับกับปลายตะวันเอ่ยแทรกขึ้น
“นั่นสิ ใครครับ คะ พี่ตะวัน พวกเราไม่เคยเห็นหน้า” เด็ก ๆ ต่างพากันร้องถามบ้าง
เอริคยิ้มก่อนจะตอบคำถามเด็ก ๆ
“หมอชื่อเอริค เป็นหมอใหม่ของที่นี่ครับ”
“อ้อ....หมอ เอริค ที่พี่แก้ว พี่นิด บอกว่าหล่อมาก...นี่เอง” เด็กชายโอ๊คเอ่ยขึ้น ทำให้นางพยาบาลทั้งคู่ที่นั่งอยู่ด้วยหน้าแดง
“น้องโอ๊ค......โธ่....พูดแบบนั้นพี่ก็แย่สิคะ.....ขอโทษนะคะคุณหมอ คือพวกเรา..........” พยาบาลร่างท้วมนิด นามว่านิดพูดอย่างเขิน ๆ ทำให้เด็ก ๆ หัวเราะกันใหญ่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แล้วหล่อแบบไหนครับ แบบแบรดพิทท์พอไหวไหมครับ” เขาพูดพร้อมกับยิ้มให้
ปลายตะวันพอได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมากับมุกของเขา
“ขอโทษ....ไม่ได้ตั้งใจหัวเราะ พี่...เอ้ย คุณหมอนะคะ” ปลายตะวันรีบหยุดหัวเราะ แต่ก็ยังอมยิ้ม เมื่อเขาหันมาทางตน
“คุณ....ไม่เล่านิทานต่อแล้วหรือครับ”
“เอ่อ....คือ...” ปลายตะวันอึกอัก มองสบสายตาของเขา แล้วก็ต้องหลบวูบ มองเหล่าเด็ก ๆ ที่กำลังคะยั้นคะยอให้เล่านิทานต่อให้จบ
“ก็ได้ค่ะ พี่ตะวันจะเล่าต่อ แต่ถ้าจบแล้วต้องกลับเข้าข้างในได้แล้วนะคะ เพราะออกมานั่งข้างนอกกันนานแล้ว” สิ้นเสียงปลายตะวัน เด็ก ๆ ที่อยู่ตรงนั้นต่างร้องไชโย เอริคเองก็ทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ กลุ่มของเด็ก ๆ คอยฟังนิทานด้วยอีกคน
หลังจากเล่านิทานจบเด็ก ๆ ต่างถูกนางพยาบาลพากลับเข้าไปด้านในตัวตึก ปลายตะวันลุกขึ้นยืน มองเด็ก ๆ ที่ทยอยกันตามนางพยาบาลไป บางคนยังคงหันมาโบกไม้โบกมือให้กับหล่อน และคุณหมอคนใหม่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งทั้งหล่อนแล้วเขาก็โบกมือตอบ
“นิทานของคุณ สนุกนะครับ มิน่าเด็ก ๆ ถึงชอบคุณมากเลย ตั้งแต่ผมมาทำงานที่นี่ ทุกครั้งที่เดินผ่านมาบริเวณนี้ผมเห็นคุณถูกพวกเด็ก ๆ ล้อมทุกวัน”
“ขอบคุณค่ะ”
“จริงสิ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผม....เอริคครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวพลางยืนมองไปตรงหน้าของหญิงสาว
“ปลายตะวันค่ะ เรียกตะวันเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ” ปลายตะวันยื่นมือไปสัมผัสกับเขาตามธรรมเนียมของต่างประเทศ
“ครับ คุณตะวัน ผมต้องขอตัวนะครับ เอาไว้ค่อยมาฟังคุณเล่านิทานใหม่” ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ค่ะ”
“แล้วเจอกันนะครับ”
“ค่ะ แล้วเจอกันพี่อิ๊ม...” ปลายปลายตะวันรำพึง พร้อมมองตามร่างสูงของชายหนุ่มที่เดินตรงไปยังทางเชื่อมระหว่างตึก ความรักและความคิดถึงมากมายเอ่อล้นอยู่ในใจ แต่เท่านี้แหละ.....ขอเท่านี้....แค่ได้เห็นได้คุยบ้างสักนิด....แค่นี้หล่อนก็มีความสุขมากแล้วจริง ๆ
เย็นมากแล้วเอริค ยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้หินอ่อน ในสวนข้างตึกของแผนกกุมารเวช คิดถึง ช่วงระยะเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ที่เขา มักแวะเวียนไปรวมกลุ่มกับเด็ก ๆ เพื่อฟังนิทานของปลายตะวัน หรือไม่ก็เล่นเกมลับสมองกับเด็ก ๆ จนเด็ก ๆ เองก็เริ่มคุ้นเคย และติดคุณหมอเอริคแจ
ยกเว้นวันใดที่มีผ่าตัดในช่วงเวลานั้นที่เขาไม่อาจไปได้ แต่เขาก็จะแวะไปทุกครั้งหลังผ่าตัดเสร็จเพื่อดูว่าปลายตะวันและกลุ่มเด็ก ๆ ยังคงอยู่ที่สวนหรือไม่ น่าแปลก แค่ช่วงเวลาไม่นานที่ได้พบกับปลายตะวันเขารู้สึกเหมือนกับคุ้นเคยกับหล่อนมานานเป็นปี
เขาเองก็เคยถามหล่อนเหมือนกันว่าเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็มีเพียงรอยยิ้ม ที่ดูเหมือนแฝงความหมายบางอย่าง
ความจริงแล้วสาเหตุส่วนหนึ่งที่เขากลับมาเมืองไทยเพราะอยากตามหาความทรงจำที่สูญเสียไป แต่เพราะงานโรงพยาบาลที่ยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาสืบหาอดีตของความทรงจำ ทำให้ตอนนี้เขายังไม่รู้อะไรมากนัก
นอกจากคำบอกเล่าของผู้เป็นอาสาวที่ดูแลเขาหลังจากประสบอุบัติเหตุ เขาเคยกลับไปตามหาบ้านเก่าที่เขาเคยอยู่กับบิดา ตามที่อาของเขาบอกตอนที่มาถึงที่นี่วันแรก แต่ก็พบว่าตอนนี้มีห้างสรรพสินค้ามาสร้างทับไปเสียแล้ว
เอริคลุกขึ้นยืนอย่างดีใจเมื่อมองเห็น ว่าใครกำลังเดินตรงมาทางเขา
“คุณตะวัน”
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้คะคุณหมอเอริค” ปลายตะวันเอ่ยทักอย่างแปลกใจ เพราะนี่มันก็ใกล้ค่ำแล้ว ทำไมเขาถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้
“พอดีผมเพิ่งออกเวร น่ะครับ เหนื่อย ๆ ก็เลยหามุมสงบเสียหน่อย แล้วเท้ามันก็พาเดินมาที่นี่ล่ะครับ” เขาตอบแต่ปลายตะวันรู้สึกว่า น้ำเสียงเขาไม่สดใสเหมือนทุกทีเลย
“แล้วคุณตะวันล่ะครับ หายไปไหนมาหลายวัน เด็ก ๆ บ่นคิดถึงกันใหญ่เลย” เอริคเอ่ยถาม เพราะ ช่วง 4 วันที่ผ่านมาปลายตะวันไม่ได้มาที่แผนกกุมารเวชเลย เขาเจอผู้อำนวยการซึ่งเป็นลุงของปลายตะวันก็ได้คำตอบว่า หล่อนไปพักผ่อน
“ไม่ได้หายไปไหนหรอกค่ะ พอดีป่วยนิดหน่อย คุณลุงเลยห้ามมาที่นี่น่ะค่ะ”
“แล้วนี่หายแล้วหรือครับ ถึงมาได้ แล้วทำไมมาเสียค่ำล่ะครับ” เขาถามเป็นชุดด้วยความเป็นห่วง
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะค่ะ ว่าแต่คุณหมอ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ตะวันว่าคุณหมอเหมือนมีเรื่องกังวล”
“นิดหน่อยครับ คุณเองก็ทราบใช่ไหมว่า ผมสูญเสียความทรงจำ ก่อนหน้าอายุ 19 ไป สาเหตุที่ผมกลับมาเมืองไทยส่วนหนึ่งก็เพราะอยากตามหาความทรงจำนั่นล่ะครับ”
“ตะวันว่า คงไม่ใช่แค่ความทรงจำหรอกนะคะที่คุณไม่สบายใจ...ดูเหมือนตั้งแต่คุณมาอยู่ที่นี่ ทุกวันที่คุณมาเล่นกับเด็ก ๆ ภายนอกคุณอาจดูเหมือนสนุกและผ่อนคลาย แต่ความจริง ลึก ๆ แล้ว ตะวันว่าคุณกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอย่างมาก” เอริคมองคนข้าง ๆ อย่างตกใจ ที่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ในสิ่งที่เขาพยายามซ่อนมันไว้ตลอด
ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างคนทั้งคู่ ปลายตะวันเองลอบมองเสี้ยวหน้าของบุคคลที่หล่อนรักและเฝ้ารอ ก็เห็นเขากำลังก้มหน้านิ่งมือประสานกัน นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง หมุนวนระหว่างกันไปมา ซึ่งเป็นกิริยาเดียวที่เขามักจะแสดงเสมอเวลามีเรื่องทุกข์ใจ
“เคยมีคนบอกตะวันเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ตะวันเสียพ่อกับแม่ไปในอุบัติเหตุตอนเด็ก ๆ ว่า ถ้าหากเราจะแบกความเจ็บปวดไว้ นอกจากเราจะเจ็บแล้ว คนที่รักเราก็เจ็บไปกับเราด้วย
คนๆ นั้นถามตะวันว่า ตะวันอยากเห็นคนที่เค้ารักและห่วงใยตะวัน และตะวันก็รักเค้า ต้องเสียใจเพราะเห็นตะวันเจ็บปวดหรือเปล่า ตอนนั้นตะวัน ตอบกลับไปว่า ตะวันไม่อยากเห็นใครเสียใจและทุกข์ใจเพราะตะวัน
เค้าจึงบอกตะวันว่า เข้มแข็งไว้สิ แล้วมันจะผ่านไป ถ้ายอมรับและเผชิญกับความทุกข์อย่างเข้มแข็ง สิ่งดี ๆ ก็จะบินมาหาเราเอง เพราะคนที่คิดว่าตัวเองมีแต่ความทุกข์จะไม่มีวันมีความสุขได้เลยตลอดชีวิต”
ปลายตะวันพูดจบก็หันมองคนนั่งข้าง ๆ ก็พบว่าเขายังคงก้มหน้านิ่ง หญิงสาวได้แต่นึกเสียใจที่ดูเหมือนในยามนี้หล่อนไม่อาจช่วยอะไรเขาได้เลย
“คุณหมอคะ....” ปลายตะวันเรียกพร้อมกับเอามือแตะที่ต้นแขนเขาเบา ๆ เมื่อเขาหันมองมา เธอเห็นแววตาคู่นั้นสดใสขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ปลายตะวันลดมือลงรู้สึกดีใจเมื่อเห็นเช่นนั้น
“ขอบใจนะ ตะวัน ขอบใจจริง ๆ คำพูดของคุณทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากเลย” เอริคละสายตาจากปลายตะวัน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก่อนจะเอ่ยต่อ
.คุณพูดถูกเรื่องความทรงจำของผมนั้นไม่ได้ทำให้ผมทุกข์เท่าไหร่เลย ผมชินเสียแล้วถึงแม้ความทรงจำของผมจะไม่กลับมาก็คงไม่เป็นไร
แต่ทว่า.........ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ทุก ๆ คืนผมฝันร้ายเสมอ ฝันว่าพ่อตายเพราะผม รวมทั้งน้องสาวต่างแม่ของผม” เสียงเอริคเริ่มสั่น แต่เขาก็ยังคงพูดต่อไป เมื่อรู้สึกว่าหนามแห่งความทุกข์นั้นกำลังถูกถอนออกไปทีละน้อย แม้ว่ามันจะเจ็บปวดมากก็ตาม
“วันนั้นผมเป็นคนขับรถคันนั้นเอง ดูเหมือนว่าผมเพิ่งสอบได้ใบขับขี่สากล พ่อจึงให้ผมขับและท่านนั่งข้าง ๆ ส่วนเอมี่ นั่งอยู่เบาะด้านหลัง วันนั้นดูเหมือนว่าพวกเรากำลังขับรถขึ้นเขาเพื่อไปพักผ่อนวันหยุดตอนปลายปี แต่พอถึงทางโค้งมีรถยนต์คันหนึ่งแหกโค้งมาพอดี
ผมพยายามหักหลบแล้วแต่ไม่ทัน ผมได้ยินเสียงกรีดร้องและรู้สึกว่าพ่อเอาตัวบังผมไว้ แล้วทุกอย่างก็วูบลง
..ผมฟื้นอีก 2 อาทิตย์ต่อมา และก็รู้ว่าตัวเองเสียความทรงจำ ผมพยายามนึกเรื่องราวทุกอย่างให้ออกแต่มันก็ว่างเปล่าไปหมด
แต่คุณอาท่านดีกับผมมาก ท่านรับผมไปดูแล เมื่อก่อนผมไม่ได้ชื่อ เอริค หรอกครับ ชื่อผมคือ อริน แต่คุณอาท่านค่อนข้างเชื่อโชคราง ท่านเลยเปลี่ยนชื่อให้ผมเสียใหม่ และบอกว่าอดีตที่ผ่านไปก็ให้ปล่อยไป ผมควรทำปัจจุบันให้ดี เพื่ออนาคตของผมเอง
และเพราะอาการป่วยของผม ๆ ผมถึงได้เลือกเรียนหมอ แต่มันก็ต้องพยายามอย่างมากทีเดียว ตอนนี้ผมผ่านทุกอย่างได้ แต่ฝันร้ายในวันนั้นก็ยังคงตามหลอกหลอนผมเสมอมา และจนบัดนี้แม่ของเอมี่ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงผม ก็ยังกล่าวหาว่าผมเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุนั่น
ทุกครั้งที่เจอกันท่านจะชี้หน้าแล้วด่าผมทุกครั้งว่าฆ่ายัยเอมี่.....” เอริคเล่าถึงตอนนี้เขาก็เงียบลง น่าแปลกที่ตอนนี้เขารู้สึกว่าหนามของความทุกข์ที่อยู่ในใจเขานั้นถูกดึงออกจนเกือบจะหมดแล้ว แม้จะไม่ทั้งหมดแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกเขาค่อนข้างปลอดโปร่ง
เอริคหันมองปลายตะวันก็เห็นหญิงสาวกำลังมองทางเขาเช่นกัน และทันทีที่เขาสบสายตาคู่นั้น เอริครู้สึกเหมือนเห็นภาพใบหน้าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ถักผมเปีย 2 ข้าง ซ้อนทับอยู่กับภาพของปลายตะวัน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ คุณหมอ” ปลายตะวันเอ่ยถามเมื่อเห็นเขาเพ่งมองหล่อนอย่างค้นหาบางอย่าง
“ปะ...เปล่าครับ ผมคงตาฝาดไปเอง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเห็นคุณตะวันเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งน่ะครับ”
“ใครหรือคะ” ปลายตะวันถามเขาด้วยหัวใจเต้นรัว แม้จะทำให้ยอมรับว่าเค้าสูญเสียความทรงจำที่มีร่วมกันไปแล้ว
แต่ใจจริงปลายตะวันก็ยังอดหวังไม่ได้ว่าบางทีถ้าเค้าจดจำหล่อนได้ก็คงจะดี
“ติ๊ด.......ๆๆๆ..........ติ๊ด”
เอริคหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กออกมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้า เขามองหมายเลขที่แสดงบนหน้าจออย่างไม่อยากเชื่อสายตา พร้อมกับอุทานออกมา
“เมย์......”
“เห็นทีตะวันคงต้องขอตัวนะคะ” ปลายตะวันลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าเขาคงมีเรื่องส่วนตัวคุยกับผู้ที่โทรมา
“เอ่อ........ครับ ผมขอบคุณ ๆ อีกครั้งนะครับ คุณทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากจริง ๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ปลายตะวันยิ้มให้ ก่อนมุ่งตรงไปยังทางเชื่อมระหว่างตึก
ปลายตะวันวางปากกาลงบนไดอารี่ หยิบกรอบรูป เล็ก ๆขึ้นมา มองภาพของตัวหล่อนเองยิ้มแป้นอยู่ในเสื้อกีฬาสีแดง กำลังชูเหรียญรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันหญิงเดี่ยว ข้าง ๆ นั้นมีพี่อิ๊ม คนที่หล่อนคิดถึงมากที่สุดในตอนนี้ ใส่เสื้อสีชมพูยืนชู 2 นิ้ว พร้อมกับยิ้มอย่างเบิกบาน ที่คอมีเหรียญรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันคล้องอยู่
ปลายตะวันจำได้วันนั้นเป็นงานแข่งกีฬาสีภายในโรงเรียน ตัวเธอเองกับพี่อิ๊มลงแข่งแบดมินตันเหมือนกัน แต่อยู่กันคนละสี และก็ชนะเลิศการแข่งขันด้วยกันทั้งคู่
ภาพนี้ปลายตะวันขอฟิมล์มาจากนิรมลเพื่อนสนิทที่ถ่ายรูปให้ เพราะเป็นรูปถ่ายใบเดียวที่เธอกับพี่อิ๊มถ่ายร่วมกัน เนื่องจากพี่อิ๊มไม่ชอบถ่ายรูปเท่าใดนัก กว่าจะได้ภาพนี้มาก็คะยั้นคะยออยู่ตั้งนาน
ปลายตะวันนึกถึงบุคคลที่อยู่ในภาพ และแล้วเหตุการณ์เมื่อกลางวันก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ
“เมย์.......ผมขอโทษ......” เสียงที่ได้ยินนั้นทำให้ปลายตะวันชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวไปยังประตูของดาดฟ้า ไม่ต้องบอกหล่อนก็รู้ว่าเป็นพี่อิ๊ม
ใจหนึ่งปลายตะวันอยากจะหันกลับเพราะการที่เค้าหลบมาคุยโทรศัพท์ที่ดาดฟ้าคงอยากได้ความเป็นส่วนตัวจริง ๆ แต่ดูเหมือนใจที่อยากรู้อีกส่วนหนึ่งจะมีอิทธิพลมากกว่าทำให้ปลายตะวันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ
“เมย์....โธ่...อย่าร้องไห้เลยนะครับ.ผมขอโทษจริง ๆ ผมแค่อยากให้คุณได้พบใครที่ดีกว่าผม” เสียงของเขาขมขื่นเมื่อเอ่ยประโยคหลัง
“คุณก็รู้นี่นาเมย์...คุณน้าผกาท่านคงไม่มีวันยอมแน่นอนที่จะให้ผมแต่งงานกับคุณ.......” ปลายตะวันรู้ว่าเขาหมายถึงคุณผกากาญน์ แม่เลี้ยงของเขา ซึ่งเมื่อก่อนหล่อนจำได้ว่าน้าผกาใจดีมาก ยามไปเล่นบ้านของพี่อิ๊มท่านมักจะเอาขนมมาให้ทานเสมอ และยังมีเอมี่ ลูกติดของน้าผกาอีกคนซึ่งพี่อิ๊มเอ็นดูมากเพราะเป็นเด็กน่ารักและช่างประจบ หล่อนเองก็เอ็นดูเอมี่ไม่แพ้กันเลยทีเดียว
“ผมไม่อยากให้คุณลำบากใจนะเมย์ ถึงอย่างไรคุณน้าผกาก็เป็นญาติของคุณ
”
“เมย์............ผมรักคุณมากนะ รักคุณที่สุด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดให้ผมเสมอมา แม้ตอนนี้ผมเองก็คิดถึงคุณทุกวัน แต่เมย์.....ผมไม่อยากให้คุณผิดใจกับคุณแม่คุณนะ.เพราะถึงอย่างไรคุณแม่คุณกับคุณน้าผกายังไงก็ไม่มีวันยอมให้เราได้อยู่ด้วยกันแน่นอน คุณก็รู้ดีนี่นาเมย์.........”
บทสนทนาที่ได้ยินตอนนั้นทำให้หัวใจของปลายตะวันเจ็บร้าว แม้ว่าจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่พอรู้ว่าในหัวใจของคนที่เธอคิดถึงทุกลมหายใจบัดนี้มีใครอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเธอปลายตะวันก็อดเจ็บไม่ได้ หญิงสาวหันหลังเดินกลับ ขอบตาร้อนผ่าว
ในตอนแรกเธอคิดว่าคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเจอกับเขาอีก เพราะถ้ายิ่งเจอกันเธอเองคงมีแต่จะยิ่งเจ็บไปเปล่า ๆ
แต่พอกลับมาร้องไห้และเริ่มเข้าใจความเป็นจริงว่า ถึงแม้พี่อิ๊มไม่ได้ความจำเสื่อม หรือไม่มีใครในหัวใจของเขา ตัวเธอกับเขาก็ไม่มีวันได้อยู่เคียงข้างกัน
พอจิตใจเริ่มปลอดโปร่งตัวเธอเองก็อดห่วงเขาไม่ได้ เพราะบทสนทนาที่ได้ยินนั้นปลายตะวันจับได้ถึงกระแสของความขมขื่นที่อยู่ในใจเขา
และนั่นเองทำให้หล่อนตัดสินใจที่จะช่วยให้เขาหายจากความทุกข์ที่มีไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
พอตกเย็นเมื่อเดินผ่านไปที่ตึกของแผนกกุมารเวชเห็นเขานั่งทำหน้าเศร้าอยู่ หล่อนจึงตัดสินใจเข้าไปหาอย่างน้อยหล่อนอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อเขาก่อนที่หล่อนจะต้องจากไปไกลในอีกไม่ช้า
และคำบอกเล่าของเขาทำให้หญิงสาวพอจะเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาบอกกับคนที่คุยด้วยทางโทรศัพท์เช่นนั้น
เพราะความโกรธแค้นของคุณผกากาญน์ ทำให้เขาเป็นทุกข์ โทษตัวเองว่าเป็นคนทำให้พ่อและน้องสาวตาย และคนที่คุยด้วยทางโทรศัพท์คงเป็นญาติของคุณผกากาญน์นั่นเอง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ปลายตะวันก็วางรูปถ่ายลงที่เดิม
“พี่อิ๊ม ตะวันหวังว่าพี่คงจะได้พบกับความสุขนะคะ” ปลายตะวันรำพึง
ปลายตะวันกำลังหยิบจานเค้กที่ทานหมดแล้วพร้อมกับแก้วน้ำวางใส่ถาด เพื่อเก็บไปล้าง แต่แล้วเสียงแหวจากนิรมลเพื่อนสนิท และหุ้นส่วนร้านเบเกอรี่แห่งนี้ ซึ่งกำลังผลักประตูเข้ามาในร้านดังขึ้น
“ยัยตะวัน ทำอะไรน่ะ” นิรมลปราดเข้ามาพร้อมกับดึงถาดใส่จานขนมกับแก้วน้ำในมือปลายตะวันไปเก็บเสียเอง
“มลบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เด็กในร้านทำ ตะวันไม่ต้องทำอะไรหรอก อ้าวแล้วนี่หายไปไหนกันหมด ทั้งนายพิง และก็ยัยหมวย”
“พิงออกไปส่งเค้ก ให้ลูกค้าเมื่อครู่ ส่วนหมวยขอลาหยุดเพราะมีสอบไง” ปลายตะวันนั่งลงตรงเก้าอี้ มองเพื่อนที่กำลังล้างแก้วน้ำเก็บเข้าที่
“เออ จริง ลืมไปเลยว่ายัยหมวยขอหยุด แต่เธอก็ไม่สมควรทำนี่นา เดี๋ยวนายพิงกลับมาก็ให้จัดการสิ”
“โธ่ มล ตะวันไม่ได้เป็นง่อยนะที่จะทำอะไรไม่ได้” ปลายตะวันหัวเราะกับอาการห่วงกังวลของเพื่อน
“จ้า เธอมันอึด แต่สังวรไว้บ้างสิจ๊ะ ร่างกายเธอไม่ค่อยแข็งแรงนัก ดูสิผอมแทบปลิวลมได้อยู่แล้ว”
“จ้า ๆๆๆ คุณหมอนิรมล” ตะวันหัวเราะร่า นิรมลมองเพื่อนแล้วก็พลอยยิ้มไปด้วย
เสียงกรุ๊งกริ๊งที่ดังขึ้นเมื่อประตูร้านเปิดออก ทำให้ทั้งปลายตะวัน กับนิรมล ซึ่งกำลังคุยกันอยู่ หันไปมอง
พอเห็นผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นใคร นิรมลถึงกับอ้าปากค้าง ส่วนปลายตะวันนั้นชะงักงันเล็กน้อย เพราะผู้ที่เข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่หล่อนคิดถึงเสมอมา
เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมกับสตรีคนหนึ่ง ใบหน้าคมสไตล์ลูกครึ่งไทยกับต่างประเทศ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนส่องประกายสดใส เส้นผมสีน้ำตาลไหม้ เป็นลอน ถูกผูกรวบด้วยริบบิ้นสีส้มอ่อน เช่นเดียวกับสีชุดกระโปรงติดกัน สั้นเหนือเข่าเล็กน้อย
ในสายตาของปลายตะวันหล่อนดูน่ารักราวกับตุ๊กตาทีเดียว จากท่าทีและสายตาที่พี่อิ๊มมองหล่อนนั่นทำให้ปลายตะวันเดาได้ทันทีว่า ผู้หญิงคนนี้คงเป็นคงเดียวกับที่เขาคุยโทรศัพท์บนดาดฟ้า และโทรเข้ามาในตอนค่ำเมื่อวานเป็นแน่
“พี่อิ๊ม.....เอ่อ.........คุณหมอเอริค สวัสดีค่ะ” ปลายตะวันกับนิรมลลุกขึ้นไปต้อนรับลูกค้า
“อ้าว..คุณตะวัน.......มาทานเค้กหรือครับ”
“เปล่าค่ะ .... นี่ร้านของตะวันกับ นิรมลเพื่อนตะวันค่ะ” ปลายตะวันแนะนำผู้เป็นเพื่อน
“สวัสดีครับ ผมเอริคครับ เป็นหมออยู่โรงพยาบาลข้าง ๆ นี่ล่ะครับ ส่วนนี่ เมยาวีคู่หมั้นผมครับ ” เขาหันไปแนะนำ หญิงสาวที่มาด้วย
นิรมลเหลือบมองปลายตะวันด้วยความเป็นห่วง หลังจากที่ได้ยินคำแนะนำหญิงสาวที่มาด้วยกับชายหนุ่ม หล่อนเห็นแววตาปลายตะวันสลดวูบ แต่ก็กลับมาสดใสดังเดิม ก่อนเอ่ยทักทายเมยาวี
“สวัสดีค่ะ คุณเมยาวี เชิญนั่งก่อนดีกว่าค่ะ”
นิรมลเดินมายืนเคียงเพื่อนสาวที่มองตามร่างสูงที่เดินเคียงคู่ไปกับหญิงสาวในชุดกระโปรงติดกันสีน้ำตาลอ่อน หล่อนยกมือโอบเอวเพื่อนสาวไว้พร้อมเอ่ยเรียก
“ตะวัน”
“เค้าเหมาะสมกันดีนะ มล พี่อิ๊มดูมีความสุขเชียวเวลาอยู่กับคุณเมย์” นิรมลมองเพื่อนสาว เห็นความเศร้าลึก ๆ ในแววตาคู่สวยของเพื่อนสาว แต่มันก็แสดงถึงความยินดีอยู่ด้วยเช่นกัน
“ไม่ต้องห่วงตะวันหรอก มล ตะวันไม่เป็นไรจริง ๆ เรื่องแค่นี้สบายมาก อีกอย่างแค่เห็นพี่อิ๊มมีความสุขตะวันก็มีความสุขที่สุดแล้ว ต่อไปนี้ตะวันก็หมดเรื่องที่ค้างคาเสียที.....จะได้ไปอย่างสบายใจ” ปลายตะวันยิ้มให้กับเพื่อนสาวที่มองตนเองด้วยความกังวล
“โธ่.....ตะวัน” นิรมลได้แต่ร้องอุทานอยู่ในใจ ทำไมนะเรื่องร้าย ๆ ต้องเกิดกับปลายตะวันด้วย หล่อนกับปลายตะวันคบกันมาตั้งแต่ม.ปลาย เรียกได้ว่าสนิทกันเหมือนพี่น้อง นิสัยปลายตะวันเป็นอย่างไรมีหรือหล่อนจะไม่รู้ เพื่อนสาวมองโลกในแง่ดีเสมอ เป็นเหมือนดวงตะวันที่ใครอยู่ใกล้ก็อบอุ่น และอารมณ์ดีไปด้วย แม้เจอเรื่องหนักหนาเพียงใดปลายตะวันยังยิ้มได้เสมอ
นิรมลมองเพื่อนสาวที่หลับตาพริ้มนอนอยู่บนเตียงโดยมีนายแพทย์สันติที่กำลังยืนอ่านผลตรวจของปลายตะวันอยู่ข้างเตียง แล้วก็ต้องถอนใจออกมา
“ลุงติ คะ มลว่าเราควรเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่อิ๊มฟังดีไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามผู้เป็นลุงของเพื่อน เนื่องจากตัวเธอเองรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน กับการที่ปิดบังเรื่องราวความผูกพันในอดีตของปลายตะวัน กับอริน หรือคุณหมอเอริค ตามที่ปลายตะวันขอร้อง
นายแพทย์สันติเงยหน้าจากรายงานผลการตรวจของปลายตะวัน มองทางนิรมล และหันมองไปที่ปลายตะวัน สีหน้าของเขาครุ่นคิด
“คุณลุงคะ ตะวันขอร้องนะคะ ไม่ต้องเล่าเรื่องอดีตของตะวันกับพี่อิ๊มให้พี่เค้าฟัง เพราะถ้าพี่อิ๊มจำเรื่องราวทุกอย่างได้ และต้องมารับรู้ว่าชีวิตของตะวันเหลืออีกไม่นาน พี่อิ๊มคงเสียใจมาก ตะวันไม่อยากเห็นพี่อิ๊มเป็นทุกข์และเสียใจเพราะตะวัน นะคะคุณลุงตะวันขอร้อง”
นั่นเป็นคำพูดของปลายตะวันที่ขอเขาไว้ในวันที่รู้ว่าหมอเอริคเข้ามาประจำที่โรงพยาบาลแห่งนี้ คืออรินคนที่หลานสาวของเขาเฝ้ารอ ซึ่งเขาก็รับปากไป
“ลุงว่าอย่าเลยมล ถึงเล่าไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่กลับยิ่งทำให้คนที่ควรจะมีความสุขเป็นทุกข์ขึ้นมาอีกหนึ่งคน” นายแพทย์สันติเอ่ยตอบคำถามของนิรมล หลังจากที่เงียบไปนาน
“แต่ว่า......ตะวันเขารอพี่อิ๊มมาตลอดนะคะ แล้วพอมาพบกันกลับกลายเป็นว่าพี่อิ๊มลืมเรื่องทุกอย่างไปหมด มันไม่ยุติธรรมกับตะวันเลยนะคะลุงติ ตะวันรักและรอคอยพี่อิ๊มมาขนาดนี้ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าตอนนี้เป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกัน” นิรมลเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สงสารปลายตะวันจับใจ
“มล...ลุงเข้าใจนะว่ามลอยากเห็นตะวันมีความสุขก่อนที่ตะวันจะจากไป แต่ว่า ตะวันคงไม่ต้องการ เพราะเค้าคงไม่อยากเห็นอรินเป็นทุกข์หากรู้เรื่องอาการป่วยของตะวัน
”
นิรมลเงียบลงจำนนต่อเหตุผลนั้น เหลือบมองทางปลายตะวัน “ตะวัน..เหลือเวลาอีกนานแค่ไหนคะคุณลุง” เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากผู้เป็นลุงของปลายตะวัน แต่หล่อนก็พอจะเดาได้ เพราะจากสายตาที่ลุงติมองไปยังปลายตะวันนั้น เต็มไปด้วยความความวิตกกังวลและความกลัวมากมาย
“โธ่.....ตะวัน” นิรมลเอื้อมมือไปดึงมือของเพื่อนสาวมากุมไว้ น้ำตารินไหลออกมาด้วยความสงสาร
นายแพทย์สันติยืนอยู่หน้าประตูห้องของปลายตะวัน อย่างชั่งใจ ก่อนที่จะผลักประตูเข้าไปอย่างเงียบ ๆ
“ลุงติ.........สวัสดีค่ะ” นายแพทย์สันติพยักหน้ารับไหว้ นิรมล ก่อนเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างเตียงของปลายตะวัน ซึ่งตอนนี้ผู้เป็นหลานสาวอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน อยู่บนเตียง รอยยิ้มที่ส่งมาให้เขานั้น ทำให้ใบหน้าซีดเซียวนั้นดูมีชีวิตชีวาขึ้น
“เป็นไงบ้างตะวัน.....” นายแพทย์สันติ เอ่ยถามพร้อมกับเอามือลูบศีรษะของผู้เป็นหลานสาว
“เบื่อค่ะ อยากออกไปวิ่งข้างนอกบ้าง คิดถึงพวกเด็ก ๆที่แผนกกุมารเวชด้วยค่ะ ป่านนี้เด็ก ๆ คงบ่นคิดถึงตะวันแย่แล้ว หายมาเป็นอาทิตย์ขนาดนี้” ปลายตะวันตอบด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“นี่แม่คุณ คิดถึงเด็ก หรือ พี่อิ๊มจ๊ะ” นิรมลกระเซ้าเพื่อน เพราะหล่อนเพิ่งบอกปลายตะวันตอนเข้ามาเยี่ยมว่า เมื่อ วานตอนเช้าพี่อิ๊มไปถามหาปลายตะวันที่ร้าน หล่อนเลยต้องโกหกคำโตไปว่าปลายตะวันไปต่างจังหวัด เพราะปลายตะวันขอร้องทุกคนที่รู้เรื่องอาการป่วยของตน ห้ามบอกกับหมอเอริค เป็นอันขาด
“ลุงติ มีอะไรหรือเปล่าคะ” ปลายตะวันเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลเป็นอย่างมากของผู้เป็นลุง
“ตะวัน.........” นายแพทย์สันติ วางมือลงบนไหล่ของปลายตะวันพร้อมกับบีบเบา ๆ อ้ำอึ้ง ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับผู้เป็นหลานสาว
“มีอะไรคะลุง” ปลายตะวันมองผู้เป็นลุงอย่างฉงน รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีนักเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น
“คือว่า.......ตะวันต้องทำใจดี ๆ นะกับเรื่องที่ลุงจะบอก”
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณลุง” นิรมลเอ่ยถามด้วยอีกคน
“คือว่า อิ๊มถูกรถชนตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู”
“พี่อิ๊ม
!!!!
.” ปลายตะวันหน้าซีด เมื่อได้ยินเช่นนั้น นิรมลเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“ตะวัน!!......ไม่เป็นไรนะ อิ๊มต้องปลอดภัยแน่นอน ” นายแพทย์สันติดึงปลายตะวันที่กำลังร้องไห้มากอดพร้อมกับเอามือลูบหลังอย่างปลอบโยน
“ทำไมถึงเกิดเรื่องได้คะคุณลุง” นิรมลที่เพิ่งตั้งสติได้ เอ่ยถาม
“ลุงเองก็ไม่รู้รายละเอียดนักหรอก รู้แต่ว่าเขาเข้าไปช่วยเด็กที่กำลังจะข้ามถนนแล้วมีรถฝ่าไฟแดงมาพอดี”
“ลุงติ......ช่วยพี่อิ๊มด้วยนะคะ อย่าให้เค้าเป็นอะไร” ปลายตะวันเงยหน้าขึ้น เอ่ยพร้อมกับเสียงสะอื้น
เอริคมองรอบ ๆตัวอย่างงงงัน รอบ ๆ กายเขาตอนนี้ดูเหมือนมีเพียงความว่างเปล่า เขาพยายามทบทวนว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“พี่อิ๊ม” เสียงเรียกนั้นทำให้เขาหันกลับไปมอง ก็เห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างนัก เขาเพ่งมองรู้สึกคลับคลายคลับคลา ยิ่งนัก แล้วเขาก็เบิกตากว้าง ยิ้มออกมาอย่างยินดี พร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปหา
“ตะวัน............” เอริคเรียกอย่างยินดี
“ตะวันจริง ๆ ด้วย...........ดีใจจังที่ได้เจอคุณอีก คุณหายไปซะนานเลย” ปลายตะวันยิ้มให้เขา
“ตะวันก็ดีใจค่ะที่ได้เจอพี่ ก่อนที่ตะวันจะไป”
“ตะวันจะไปไหนครับ” เอริคเอ่ยถาม
“ไปในที่.....ที่ไกลมากค่ะ ....”
“เอริคคะ.........เอริคคุณฟื้นสิคะ เอริค”
“เมย์ เสียงเมย์นี่นา” เอริคหันรีหันขวางเพื่อหาต้นเสียง
“กลับเถอะค่ะ พี่อิ๊มมานานเกินไปแล้ว ทุกคนกำลังรอพี่อยู่” เอริคหยุดมองปลายตะวัน พยายามทบทวนเรื่องราวต่างๆ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาถูกรถชนเพราะช่วยเด็กคนหนึ่งไว้ นี่แสดงว่า
.เขาตายแล้วงั้นเหรอ แล้วทำไมปลายตะวันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ
“เอริค.” เสียงของเมยาวีดังชัดขึ้นในโสตประสาทเขา และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าปลายตะวันยกมือขึ้นผลักอกเขา อย่างแรงพร้อมโลกรอบกายของเขาหมุนติ้วไปหมด
“ลาก่อนนะคะพี่อิ๊ม ตะวันขอให้พี่มีความสุข” นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
นายแพทย์สันติมองสมุดไดอารี่สีฟ้าเล่มหนาในมือ มันเป็นบันทึกของปลายตะวัน ซึ่งเขาไปเจอมันวางอยู่ในลิ้นชักห้องนอนของหลานสาวตอนเข้าไปเก็บของเมื่อตอนเช้า 2 เดือนแล้วที่ปลายตะวันจากไป
นับแต่วันนั้น เขาก็ทุ่มเททุกอย่างให้กับงาน เพื่ออย่างน้อยก็ช่วยให้คลายความเศร้าใจและความคิดถึงที่มีต่อหลานสาวซึ่งเปรียบเสมือนลูกในไส้ไปได้
ส่วนเอริคหรืออรินเองก็อาการดีขึ้นเป็นลำดับ และความทรงจำที่เคยลืมเลือนไปก็กลับมาหมดแล้วเช่นกัน เหลือเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือ ดวงตาซึ่งวันพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่จะเปิดผ้าปิดตาออกแล้ว
นายแพทย์สันติเอนหลังพิงเก้าอี้เมื่อเอริคลับหายไปหลังประตู หันมองภาพถ่ายของปลายตะวันที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ลุงติคะ ตะวันมีเรื่องอยากขอร้อง”
“อะไรหรือตะวัน”
“ดวงตาของตะวัน ยกให้พี่อิ๊มนะคะ” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของปลายตะวันที่ขอร้องเขาไว้ หลังจากที่ได้รับรู้ว่าแม้เอริคจะหาย แต่ดวงตาก็จะบอดลง เนื่องจากเศษหินกระเด็นเข้าบาดแก้วตา ตอนที่เอริคโดนรถชนแล้วล้มลง
นายแพทย์สันติมองไดอารี่ที่อยู่ในมือ แล้วก็หันไปมองรูปของหลานสาวที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน แล้วเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นถือไดอารี่เล่มหนานั้น เดินออกจากห้องมุ่งตรงไปยังจุดหมายที่ต้องการ
เอริค ใช้มือลูบสัมผัสกับสิ่งที่นายแพทย์สันติยื่นให้ ก็รู้ว่ามันเป็นสมุดปกแข็งหนา ๆ เล่มหนึ่ง
“อะไรหรือครับ” เขาเอ่ยถามเมื่อไม่เข้าใจว่านายแพทย์สันติเอามาให้ทำไม
“ไดอารี่ของ ตะวัน ลุงคิดว่าเธอคงอยากอ่าน” ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่บนเตียงของคนไข้นิ่งงันไป เมื่อได้ฟังคำพูดนั้น
หลังจากที่ฟื้นจากอุบัติเหตุ เขาก็เล่าเหตุการณ์ที่เขาได้พบปลายตะวันก่อนเขาจะฟื้นให้กับนายแพทย์สันติฟัง และถามถึงปลายตะวัน
เขาจึงทราบจากผู้เป็นลุงของปลายตะวัน ว่าปลายตะวันนั้นจากไปอย่างสงบในวันที่4 หลังจากเขาประสบอุบัติเหตุ และในวันนั้นอาการเขาทรุดหนักลงอย่างกะทันหัน ผู้เป็นลุงของปลายตะวันบอกว่า ตอนแรกก็แทบหมดหวังที่จะยื้อชีวิตของเขาไว้ แต่แล้ว อาการที่เข้าขั้นโคม่านั้น กระเตื้องขึ้นมาอย่างหน้าประหลาด และนั่นเขาจึงรู้ว่าวิญญาณของปลายตะวันช่วยเขาไว้
“ลุงคงต้องขอตัวก่อนนะอิ๊ม เดี๋ยวจะมีผ่าตัด ลุงต้องไปเตรียมตัวแล้วล่ะ” นายแพทย์สันติเอ่ยขอตัวเมื่อนั่งคุยกับเอริคได้พักใหญ่
“ครับ ขอบคุณมากนะครับลุงติ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
“ไม่เป็นไรหรอกอิ๊ม ถือซะว่าเธอเองก็เป็นหลานลุงคนหนึ่งแล้วกัน เพราะทุกครั้งที่ได้คุยกับเธอมันทำให้ลุงรู้สึกว่าตะวันนั้นอยู่ใกล้ ๆ ไม่ได้จากไปไกล ลุงไปล่ะนะ พรุ่งนี้ลุงคงจะมาอยู่ตอนเธอเปิดผ้าปิดตาไม่ได้ เพราะมีประชุม แต่ลุงเชื่อว่าอิ๊มต้องกลับมามองเห็นอีกครั้งแน่นอน” นายแพทย์สันติกล่าวอย่างเชื่อมั่นในประโยคท้าย
“ขอบคุณครับ
.”
“งั้นลุงไปนะอิ๊ม”
“ครับ.........เอ่อ....เดี๋ยวครับลุงติ” เอริคเรียก เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้
“อะไรหรืออิ๊ม”
“ผมมีเรื่องอยากถาม..........ผมอยากรู้ว่าใครบริจาคตาให้ผมครับ......ถ้าหากพรุ่งนี้ดวงตาผมเป็นปกติ ผมก็อยากไปขอบคุณเค้า และญาติ ๆ เค้าด้วย” นายแพทย์สันติ เงียบไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“เค้าคือคนที่คิดถึงเธออยู่ในทุกลมหายใจและอยากเห็นเธอมีความสุขเสมอไงล่ะ.....ลุงคิดว่าเธอน่าจะรู้ดีนะอิ๊มว่าเป็นใคร ” นายแพทย์สันติพูดจบก็ตบไหล่ของเอริคเบา ๆ 2-3ที ก่อนเดินออกไป
“ปลายตะวัน..!!!” เอริครำพึงออกมา เอามือลูบไล้ปกไดอารี่ ในหัวใจเต็มไปด้วยความเสียใจและซาบซึ้ง กับการเสียสละของผู้เป็นเจ้าของ ไดอารี่ที่อยู่ในมือเขา
“พ่อฮะ ทำไมเวลาอ่านสมุดเก่า ๆ เล่มนี้ทีไร พ่อต้องทำหน้าเศร้า หรือ ไม่ก็ชอบยิ้มออกมาคนเดียวล่ะฮะ” เด็กชายวัย 6 ขวบ เอ่ยถามผู้เป็นบิดาหลังจากที่ด้อม ๆ มอง ๆ อยู่บริเวณนั้น แล้วเห็นผู้เป็นบิดายิ้มออกมาพร้อมกับมองไดอารี่เล่มที่อยู่ในมือ
เอริควางไดอารี่ลงบนโต๊ะหันมายิ้มให้บุตรชายพร้อมกับคว้าตัวไปนั่งบนตัก
“พ่อกำลังนึกถึงเจ้าของไดอารี่เล่มนี้อยู่น่ะ”
“เค้าเป็นใครหรือฮะ” เจ้าตัวซนเงยหน้าขึ้นถาม
“เป็นคนที่รักและเป็นห่วงพ่อที่สุด เมื่อนานมาแล้ว และยังเป็นคนให้แสงสว่างกับพ่ออีกครั้งหนึ่งไงล่ะ” เด็กชายภาสกรทำหน้างง ไม่ค่อยเข้าใจที่ผู้เป็นบิดาพูดเท่าใดนัก
“แล้วเค้าอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
“เค้าคงไปเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์แล้วล่ะ
” เอริคมองไดอารี่ที่วางอยู่เงียบไปอึดใจ ก่อนจะก้มลงพูดกับบุตรชาย“ว่าแต่เราเถอะการบ้านเสร็จแล้วเหรอถึงมาหาพ่อที่นี่น่ะ”
“พรุ่งนี้วันเสาร์ค่อยทำก็ได้ฮะ” เจ้าตัวน้อยยิ้มแป้นตอบ
“แน่ะ สองพ่อลูกมาทำอะไรกันตรงนี้คะ” เมยาวีเอ่ยทักเมื่อเปิดประตูห้องทำงานของผู้เป็นสามีเข้ามา
“คุณพ่อนั่งอ่านสมุดเก่านี่อีกแล้วล่ะฮะคุณแม่” เด็กชายตัวน้อยชูสมุดที่วางอยู่ตรงหน้าให้ผู้เป็นมารดาดู
เมยาวี ยิ้มเดินเข้าไปใกล้ ๆ 2 พ่อลูก เรื่องราวของเจ้าของไดอารี่เล่มนั้นหล่อนรู้ดี เพราะผู้เป็นสามีเล่าให้ฟัง
หล่อนเองไม่เคยน้อยใจที่ในหัวใจของสามีมีภาพของหญิงสาวร่างผอมบาง เจ้าของรอยยิ้มที่เห็นแล้วพลอยทำให้โลกสว่างสดใส ซึ่งหล่อนได้เจอในร้านเบเกอร์รี่เพียงครั้งเดียวในตอนนั้น แต่กลับรู้สึกชื่นชมในความรักและเสียสละ ที่เจ้าตัวมีให้กับสามีหล่อนเสมอ
และยังนึกขอบคุณทุกครั้งที่นึกถึงเพราะเธอเป็นคนหนึ่งที่ทำให้หล่อนมีครอบครัวที่อบอุ่นในวันนี้
“ไปนอนได้แล้วค่ะ คุณพ่อคุณลูก ดึกแล้วพรุ่งนี้นัดคุณลุงติไปทำบุญแต่เช้าอีกไม่ใช่หรือคะ” ประโยคท้ายเมยาวีเอ่ยถามสามีของตน
“นั่นสินะ พรุ่งนี้ครบรอบวันตายของปลายตะวัน........12 ปี แล้วหรือนี่.....เร็วจริง” เอริคพึมพำ มองไดอารี่ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน
“งั้นตากร ไปนอนได้แล้วลูก พรุ่งนี้ต้องไปบ้านคุณลุงติแต่เช้า” เอริคอุ้มบุตรชายลุกขึ้น มือข้างหนึ่งโอบเอวภรรยาไว้เมื่อเดินออกจากห้อง
“ขอบคุณนะตะวัน ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง และตอนนี้พี่มีความสุขดีตามที่เธออวยพรให้” เอริครำพึงอยู่ในใจ เมื่อเหลือบมองไดอารี่เล่มที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะปิดประตูห้องลง
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น